มาริโอ้ เมาเร่อ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มาริโอ้ เมาเร่อ | |
รางวัลสตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส 2007 | |
ชื่อจริง | มาริโอ้ เมาเร่อ |
ชื่อเล่น | โอ้ |
เกิด | 4 ธันวาคม พ.ศ. 2531 กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย |
ชื่ออื่น | ณัฐวุฒิ, ไอ้แว่น[1] |
อาชีพ | นักแสดง, นายแบบ, นักร้อง |
ปีที่แสดง | 2547-ปัจจุบัน |
ผลงานเด่น | โต้ง รักแห่งสยาม พ.ศ. 2550 |
แนวเพลง | ฮิปฮอป |
ค่าย | เอ็นวายยูคลับ |
ส่วนเกี่ยวข้อง | PsyCho & Lil'Mario |
ข้อมูลบนเว็บ IMDb | |
---|---|
ฐานข้อมูลภาพยนตร์ไทย (ThaiFilmDb) | |
เว็บทางการ |
จนในปี 2550 มีผลงานสร้างชื่อจากภาพยนตร์ไทยเรื่อง รักแห่งสยาม ซึ่งจากบทบาท "โต้ง" ใน รักแห่งสยาม นี้ ทำให้มาริโอ้ได้รับรางวัลจากภาพยนตร์เรื่องนี้ มาริโอ้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากนิตยสารสตาร์พิกส์ รับรางวัลจากเทศกาลหนังซีเนมะนิลา ที่จัดขึ้นที่ประเทศฟิลิปปินส์ สาขานักแสดงชายยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง รางวัลเอเชียนฟิล์ม สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Best Supporting Actor) อีกทั้งยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิงครั้งที่ 16 ประจำปี 2550 ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และรางวัลสตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส ครั้งที่ 6 ในสาขาผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยม
มาริโอ้ยังร่วมงานกิจกรรมการกุศลอยู่หลายครั้ง รวมถึงยังเป็นพรีเซนเตอร์ ในวันงดสูบบุหรี่โลก ประจำปี พ.ศ. 2551 ซึ่งจัดโดย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และเป็นพรีเซนเตอร์ต่อต้านยาเสพติดให้กับทางสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
เนื้อหา[ซ่อน] |
[แก้] ประวัติ
[แก้] ชีวิตช่วงแรก
มาริโอ้ เมาเร่อ เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2531[2] ที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน กรุงเทพฯ ชื่อมาริโอ้นั้น คุณพ่อเป็นคนตั้งให้ โดยตั้งชื่อตามนักแข่งมอเตอร์ไซค์ชาวอิตาเลียน[3] และมีชื่อภาษาไทยว่า ณัฐวุฒิ สุวรรณรัตน์[4] เหตุที่มีชื่อภาษาไทยเพราะ แต่ก่อนโรงเรียนไม่ให้ใช้ชื่อภาษาอังกฤษ (ชื่อปัจจุบันตามบัตรประจำตัวประชาชนคือ มาริโอ้ เมาเร่อ) [5] มาริโอ้เข้าเรียนอนุบาลที่โรงเรียนอนุบาลลีนา[6] ระดับประถมศึกษา-มัธยมศึกษา ที่ โรงเรียนเซนต์ดอมินิก[2] และศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่คณะมนุษยศาสตร์ เอกสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยรามคำแหง[1] แต่ต่อมาย้ายเรียนในสาขานิติศาสตร์แทน[7] ในช่วงที่มาริโอ้เลือกเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา เป็นช่วงเวลาขณะที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม ก็มีการโต้เถียงกับแม่เรื่องมหาวิทยาลัยที่จะเลือกเรียน โดยทางคุณแม่อยากให้เลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ แต่สุดท้ายมาริโอ้ก็ตัดสินใจเลือกเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะต้องทำงานไปด้วย และอยากหาเงินช่วยที่บ้าน อีกทั้งค่าใช้จ่ายของมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า[8]ครอบครัวของมาริโอ้ค่อนข้างมีปัญหาทางด้านการเงิน[6] พออายุได้ 16 ปี ได้เจอกับโมเดลลิ่งชื่อ นิรุณ ลิ้มสมวงศ์ หรือ โกโก้[9][10] ที่สยามสแควร์และเป็นคนแรกที่ชักชวนไปถ่ายแบบ เมื่อเห็นตรงนี้เป็นโอกาส และเป็นโอกาสที่ดีจะได้หาเงินไปช่วยที่บ้านด้วยจึงตัดสินใจรับงาน[6] โดยครั้งแรกเป็นการถ่ายแบบจากหนังสือเดอะบอย สไตล์ชุดทหาร[11] และผลงานที่สร้างชื่อเสียงครั้งแรกกับผลงานโฆษณาตัวแรก คือ เอ็กซิท โรลออน ถ่ายทำแถวสะพานมัฆวานรังสรรค์[11] ซึ่งได้เงินมาก้อนแรก 7 หมื่นบาท[6] และยังมีโฆษณาอื่นอย่าง ขนมแจ็ค เดอะพิซซ่าคอมปานี และยังได้ถ่ายแบบอยู่เรื่อย ๆ อย่าง เธอกับฉัน และหนังสือวัยรุ่นอีกหลายเล่ม และถ่ายมิวสิกวิดีโออีกหลายตัว มิวสิกวิดีโอตัวแรกที่ถ่ายทำเป็นของวงสิงห์เหนือเสือใต้ ชื่อเพลง Good[12] และมิวสิกวิดีโอตัวอื่นเช่น กุญแจที่หายไป ของ ปาล์มมี่, ปากดีขี้เหงาเอาแต่ใจ ของ มิล่า เป็นต้น[2]
[แก้] รักแห่งสยาม
ในปี 2550 ถือเป็นปีแจ้งเกิดของมาริโอ้ โดยมีคนติดต่อเข้ามาและส่งบทสั้นๆ ภาพยนตร์ รักแห่งสยาม มาให้ดู มาริโอ้จึงลองไปทดสอบการแสดง จนได้รับบทตัวเอกในภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม ของชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ซึ่งชูเกียรติให้ความเห็นที่รับมาริโอ้มาเล่นเพราะ ชอบแววตา สามารถสื่ออารมณ์ผ่านแววตาได้ดี[9] สำหรับด้านการแสดงก่อนหน้านั้นก็เคยเรียนการแสดงมาบ้าง ที่สมาคมผู้กำกับ แล้วพอได้มาเล่นก็ต้องไปเวิร์คชอปกับนักแสดงอื่น[13] ภาพยนตร์เรื่องนี้ มาริโอ้ รับบทเป็น "โต้ง" เด็กชายวัยรุ่น ชั้น ม.6 ที่กำลังมีความสับสนกับการเลือกทางเดินในชีวิต[14] ในระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์ มาริโอ้ยังได้ทำผลงานเพลงใต้ดิน แนวฮิปฮอป[15] ร่วมกับพี่ชายของเขา มาร์โค เมาเร่อ ในนาม PsyCho & Lil’Mario กับอัลบั้มแรก PsyCho & Lil’Mario:Dem Crazy Boyz สังกัดเอ็นวายยูคลับ ออกวางขายเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2550[16] เป็นอัลบั้มเพลงภาษาอังกฤษล้วน โดยมาริโอ้ทำหน้าที่เป็นไฮพ์แมน (hypeman) ในอัลบั้มนี้[17] ซึ่งเคยได้ขึ้นร้องโชว์ในงานแฟตเฟสติวัลอีกด้วย[18]หลังจากภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม ออกฉาย ก็ได้รับกระแสตอบรับอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นกระทู้มากมายตามเว็บไซต์ชื่อดังต่างๆ หรือตามเว็บบอร์ดยอดฮิตของอีกหลายๆ เว็บไซต์[19] รวมถึงมีการตั้งคำถามขึ้นว่า มาริโอ้เป็นเหมือนในหนังหรือไม่ มาริโอ้ให้คำตอบว่า "คงมีคนอินอยู่แล้ว แต่ถ้าใครที่ติดตามผลงานของโอ้จะรู้ว่าเราไม่ใช่ โอ้เป็นนักแสดง เมื่อผู้กำกับสั่งโอ้ก็เป็น "โต้ง" แต่พอผู้กำกับสั่งคัต โอ้ก็เป็นโอ้ จริงๆ มันก็มีคนเข้ามาถามเลย ว่าโอ้เป็นเกย์หรือเปล่าเนี่ย ถ้าคนรู้จักเรา จะรู้ว่าโอ้ไม่ใช่แน่นอน โอ้ชอบผู้หญิงแน่นอน"[20] มาริโอ้ก็พูดถึงฉากที่มีคนพูดถึงมากนี้ว่า "แต่ก็ต้องยอมรับว่าฉากจูบเป็นฉากที่ยากฉากนึง ที่ผมต้องทำสมาธิมากๆ และทีมงานก็ต้องพยายามบิ้วท์ ให้เราเครียดๆ เข้าไว้ ตอนถ่ายใจนึงก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนไม่ใช่ตัวเรา แต่แม่ผมสอนมาว่าเรามาทำงาน เราเป็นนักแสดง ถ้าเราทำไปแบบครึ่งๆ กลางๆ แสดงอาการหวั่นกลัวออกมาให้เห็น คนดูก็จะไม่เชื่อ ผมเลยทำทุกอย่างให้มันเต็มที่"[21]
รางวัลที่ได้รับจากภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม มาริโอ้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากนิตยสารสตาร์พิกส์ ซึ่งได้เสียงวิจารณ์การแสดงจากภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "เนื่องจากบุคลิกนิ่งๆ คำพูดคำจาน้อยๆ แต่เขากลับเผยทุกอย่างผ่านแววตาอันสับสน หวาดกลัว ซ้ำถูกความหงอยเหงาเข้าปกคลุมชีวิตมาเนิ่นนาน แม้ดูเหมือนไม่หวือหวาอะไร แต่มาริโอ้คือคนที่ทำให้หนังเรื่องนี้ระทมจนขยี้ใจผู้ชมเป็นผุยผง โดยการแสดงแบบ 'น้อยได้มาก'"[22] และในด้านงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติฮ่องกง พ.ศ. 2551 มาริโอ้ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอเชียนฟิล์ม สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Best Supporting Actor) [23] แต่พ่ายให้กับฮองลี ซุน นักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง มองโกล[24] อีกทั้งยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิงครั้งที่ 16 ประจำปี 2550 ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม[25] รางวัลสตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส ครั้งที่ 6 ที่จัดโดยสมาคมนักข่าวบันเทิง ในสาขาผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยม[26] แต่พ่ายให้กับอัครา อมาตยกุล จากภาพยนตร์เรื่อง ไชยา ทั้ง 2 รางวัล[27][28]
นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลจากเทศกาลหนังซีเนมะนิลา ที่จัดขึ้นที่ประเทศฟิลิปปินส์ สาขานักแสดงชายยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้[29] โดยพูดถึงการแสดงของเขาว่า "มาริโอ้มีการแสดงที่มีวุฒิภาวะในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลาย แม้ท่าทางภายนอกของเขาจะดูนิ่งสงบก็ตาม แต่มาริโอ้กลับแสดงให้เห็นการต่อสู้ในจิตใจของเขา ในการที่จะแบกรับภาระความรู้สึกของครอบครัว เพื่อน กลุ่มสังคม ความรัก และภาวะทางเพศของเขา"[30]
[แก้] 2551 - ปัจจุบัน
หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม สร้างความโด่งดังให้กับมาริโอ้อย่างมาก ส่งผลให้ค่าตัวเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีงานเพิ่มขึ้นมามากมาย บางวันถึงกับต้องทำงานวันละ 4 งานก็มี รวมถึงรับเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์ดังอย่าง โฟร์โมสต์ รถยนต์ฮอนด้า แจ๊ซ[31] และแป้งเบบี้มายด์[32]ซึ่งทำให้ยอดขายเบบี้มายด์เติบโตถึง 50%[33] นอกจากนี้ยังมีผลงานเล็กๆ เป็นซีดีสอนภาษาอังกฤษ เป็นรายการถ่ายชีวิตประจำวันของมาริโอ้ มีลักษณะคล้ายๆ กับหนังสั้น[34]ผลงานภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ของมาริโอ้คือเรื่อง เฟรนด์ชิพ เธอกับฉัน ของค่ายไรท์ บิยอนด์ กำกับโดย ไรท์ เบรนทีม[35]เป็นเรื่องราวเมื่อราว 25 ปีก่อน[36] โดยมาริโอ้รับบทเป็นสิงหา เด็ก ม.6 ที่ชอบนางเอกที่ชื่อ มิถุนา แสดงโดยอภิญญา สกุลเจริญสุข[37] ภาพยนตร์เรื่องนี้มาริโอ้ผ่านการทดสอบบท โดยผู้จัดการส่วนตัวสมัครผ่านทางเว็บไซต์ ซึ่งเรื่องนี้ได้แสดงออกเยอะขึ้นกว่าเรื่องแรก ได้แสดงความรู้สึกหลายอารมณ์[38] สำหรับคำวิจารณ์การแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ ณัฎฐ์ธร กังวาลไกล จากเว็บไซต์ thaicinema.org วิจารณ์ไว้ว่า "ความสำเร็จและคำยกย่องที่เขาได้รับจากหนังเรื่องก่อนหน้าไม่ใช่เรื่องฟลุ๊ค แม้ว่าการแสดงของเขาจะลดความนิ่งลงไป...แต่เขาก็สามารถแสดงอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในใจลึก ๆ และความรักได้เป็นอย่างดี" และยังเปรียบเทียบมาริโอ้ว่า "น่าจะเรียกได้ว่ามาริโอ้คืออำพลในรุ่นของเขา"[39] ณัฐพงษ์ โอฆะพนม จากหนังสือพิมพ์คมชัดลึก พูดถึงการรับบทเป็นสิงหาว่า "มาริโอ้ทำให้สิงหา เป็นตัวละครที่มีมิติมากที่สุดในหนังเรื่องนี้"[40] แต่ถึงกระนั้นเขาก็ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแตงกวาดอง ในสาขานักแสดงนำชายยอดแย่ จากการแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้[41]
นิตยสารสตาร์พิกส์ว่า มาริโอ้จะร่วมเล่นแสดงกับอภิญญา สกุลเจริญสุข อีกในภาพยนตร์ของบัณฑิต ฤทธิถกล ในภาพยนตร์บุญชูภาคใหม่ ของค่ายไฟว์สตาร์[42] ในบท บุญโชค ลูกของบุญชู ซึ่งบัณฑิต ฤทธิถกล ได้ทาบทามมาริโอ้และได้แคสติ้งจนผ่านเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยกเลิกและหานักแสดงหน้าใหม่แทน[43] มาริโอ้ตอบปฏิเสธรับบทลูกของบุญชู พร้อมแจงเหตุผลว่า คิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับบทบาทตัวละครนี้ พร้อมทั้งกราบขอโทษทางผู้ใหญ่แล้วที่ไม่สามารถรับเล่นได้[44] และยังมีข่าวคราวว่าจะเป็นพระเอกในภาพยนตร์รักสามเส้า ให้กับโมโนฟิล์ม[45] เรื่อง รูมเมท กำกับโดย ปิติ จตุรภัทร์ ที่มีข่าวว่ามีเนื้อเรื่องแนวภาพยนตร์เรื่อง ทรีซัม ภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2537 กำกับโดย แอนดรู เฟลมมิง[46] รับบทเป็นเด็กวัยรุ่นเล่นดนตรีอย่างกีตาร์[47] แต่หลังจากถ่ายได้เพียง 10% ก็ถูกปลดออกเนื่องจากเรื่องคิวไม่ลงตัว และวิทวัส สิงห์ลำพอง มารับหน้าที่แสดงแทน[48]
มาริโอ้ยังได้ร่วมงานในโปรเจก หนังรัก 4 เรื่อง 4 สไตล์ เรื่อง ฝัน-หวาน-อาย-จูบ (หรือ 4 Romance) โดยได้ร่วมแสดงในการกำกับของราเชนทร์ ลิ้มตระกูล (เคยร่วมงานถ่ายมิวสิกวิดีโอเพลง "กันและกัน") โดยแสดงในส่วนของโรแมนติกคอเมดี้ใน "จูบ"[49] บทบาทที่ได้รับ จากที่ผ่านมามีภาพลักษณ์แบบน่ารักสดใสขี้เล่น แต่ในเรื่องนี้จะดูโตขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง[50] ก่อนการแสดงเรื่องนี้ก็ไปเรียนการแสดงกับหม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุลด้วย ภาพยนตร์ในปี 2552 มาริโอ้ได้รับการทาบทามให้แสดงในภาพยนตร์ บุปผาราตรี 3.1 กำกับโดย ยุทธเลิศ สิปปภาค[51] โดยรับบทเป็น หรั่ง วัยรุ่นคนหนึ่งที่สามารถมองเห็นผีได้ มีอาชีพเสริมเป็นนักวาดการ์ตูนผี เหตุผลที่ผู้กำกับเลือกมาริโอ้มาแสดงเรื่องนี้เพราะชอบลักษณะการแสดงแบบน้อย ๆ เล่นน้อย ๆ พูดน้อย ๆ ซึ่งตรงกับบทที่เขียนในตัวของหรั่งพอดี[52] และแสดงในภาพยนตร์ภาคต่อ บุปผาราตรี 3.2 ที่ออกฉายเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน[53]
มาริโอ้ เปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัว จากนิรุณ ลิ้มสมวงศ์ หรือ โกโก้ มาเป็นนายศุภชัย ศรีวิจิตร หรือ เอเอ ซึ่งมีเรื่องการฟ้องร้องจากอดีตผู้จัดการเกี่ยวกับเรื่องสัญญา[54] จากนั้นแสดงละครเรื่องแรกเรื่อง ใต้ฟ้าตะวันเดียว เป็นละครเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างไทยและเกาหลี[55]
ต่อมาแสดงภาพยนตร์ที่ร่วมงานระหว่างบริษัทลักส์ 666 กับสหมงคลฟิล์ม เรื่อง สาระแนสิบล้อ ร่วมกับอารยา เอ ฮาร์เก็ต ,วิลลี่ แมคอินทอช, นาคร ศิลาชัย และ เกียรติศักดิ์ อุดมนาค[56] และนำแสดงในภาพยนตร์การกำกับเรื่องแรกของพุฒิพงศ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร แสดงร่วมกับพิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ ในภาพยนตร์เรื่อง สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า...รัก[57] และยังจะมีผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่อง เดอะด็อก กำกับโดยพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง[58] รวมถึงแสดงในภาพยนตร์เรื่อง เฟิสต์เลิฟ โดยปรัชญา ปิ่นแก้ว แสดงร่วมกับนวพล ลำพูน[59]
[แก้] ชีวิตส่วนตัว
[แก้] ครอบครัวและความสัมพันธ์
มาริโอ้ เป็นลูกครึ่ง ไทย-จีน-เยอรมัน มีคุณพ่อชื่อโรแลนด์ เป็นชาวเยอรมัน เจ้าของโรงงานผลิตสารส้ม ชื่อบริษัทอาร์ เอ็ม ซี[60] ที่จังหวัดนครนายก เพื่อส่งออกต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี และผลิตให้กับโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรเพื่อจำหน่ายในประเทศไทย[3] (คุณพ่อโรแลนด์ เมาเร่อ เสียชีวิตด้วยโรคไต ซึ่งเป็นอาการแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2551) [61][62] คุณแม่ของมาริโอ้ชื่อวรัญญา (ไทย-จีน) (ช่วยที่บ้านทำธุรกิจปั๊มน้ำมัน) โดยมาริโอ้ถูกเลี้ยงมาแบบไทยผสมฝรั่ง คือคุณพ่อจะเลี้ยงแบบตามใจ ส่วนคุณแม่จะมีกรอบ แต่ค่อนข้างมีความเป็นไทยสูง[20] และเลี้ยงแบบให้ช่วยเหลือตัวเอง[63] มาริโอ้สนิทสนมกับคุณพ่อและคุณแม่ เวลาว่างก็จะนั่งคุยกันทุกเรื่อง รวมทั้งเรื่องความรักด้วย[9] และถึงแม้มาริโอ้จะเป็นลูกครึ่ง จีน-เยอรมัน ก็สามารถพูดภาษาไทยได้ชัดถ้อยชัดคำ เพราะโตมาในเมืองไทยโดยตลอด แต่ไม่สามารถพูดภาษาเยอรมันและภาษาจีนได้ แม้จะเคยเข้าเรียนภาษาจีนกลางมาบ้าง[18] ส่วนเรื่องศาสนา คุณแม่นับถือศาสนาพุทธ ส่วนมาริโอ้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก แต่ตอนเด็กๆ อายุ 12 ปี แม่เคยพาไปบวชเณร 20 วัน แต่ตอนนี้มาริโอ้นับถือคริสต์แล้ว[64]มาริโอ้มีพี่ชายอยู่ 1 คน ชื่อมาร์โค อายุห่างกัน 5 ปี (เกิดประเทศเยอรมนี) [11] เป็นศิลปินฮิปฮอป ที่ใช้นามแฝงว่า PsyCho[65] ซึ่งมาริโอ้ก็สนิทกับมาร์โคมาก คอยช่วยเหลือและปกป้องคนที่จะมาคอยแกล้งมาตั้งแต่เด็กๆ[66]
ทางด้านความสัมพันธ์ มาริโอ้ยอมรับกลายๆ ว่ามีเพื่อนผู้หญิงที่สนิทสนมด้วยคือ "กุ๊บกิ๊บ" สุมณทิพย์ เหลืองอุทัย เป็นสมาชิกวงดนตรีแนวป็อป "เบบี้ บูทตี้" ซึ่งมีรูปควงกันไปไหนมาไหน ตามหนังสือกอสซิป และรูปที่หลุดออกจากอินเทอร์เน็ต ทางด้านสุมณทิพย์ให้สัมภาษณ์ในช่วงเดือนมีนาคม 2551 ไว้ว่า "กับโอ้เป็นเพื่อนที่สนิทคนหนึ่ง สาเหตุที่เรารู้จักกันนั้น เพราะเพื่อนแนะนำ รู้จักกันมา 5 ปีแล้ว ตอนนี้ยังไม่อยากรีบใช้คำว่าแฟน เพราะยังเด็กด้วยกันทั้งคู่"[67]
[แก้] ความสนใจ
ตอนเด็ก อาชีพที่มาริโอ้ใฝ่ฝันอยากจะเป็นคือ เป็น ทหาร ตำรวจ หรือ หน่วย S.W.A.T. ไม่เคยมีความคิดที่จะเข้าวงการบันเทิง จนได้เข้าสู่วงการ[60] ส่วนในเวลาว่าง สถานที่ที่มาริโอ้ไปเดินเล่นบ่อยๆ เช่น สยามสแควร์ ดูพวกเสื้อผ้า รองเท้า[68] และในคืนวันเสาร์ก็นัดเพื่อนไปเดินเล่นตลาดมืด คลองถม หาของเล่นฮิปฮอป พวกโมเดลตุ๊กตา มาริโอ ซิมป์สัน homie[69]และยังชอบเล่นเกม มาริโอ้ยังใช้เวลาว่างไปเล่นกีฬาผาดโผน อย่างสเก็ตบอร์ด[70] ที่เริ่มสนใจจากการดูช่องอีเอสพีเอ็น ซึ่งมาริโอ้มักจะไปเล่นสเกตบอร์ดที่อุทยานเบญจสิริ ข้างเอ็มโพเรี่ยม [11] ในสมัยก่อนเข้าวงการ จะเล่นทุกวันกับพวกเพื่อนๆ ประมาณ 10-20 คน เล่นกันตั้งแต่เที่ยงถึง 3 ทุ่ม[71] เคยลองลงแข่งขันมาบ้างแต่ก็ไม่เคยชนะ[5] นอกจากนั้นยังชอบในการแต่งตัวสไตล์เด็กสเก็ต[18] และยังชอบดนตรีในแนวเพลงฮิปฮอป เริ่มฟังมาตั้งแต่ชั้น ป.6[11] โดยจะฟังในช่วงตอนเช้าตอนไปโรงเรียน และยังชอบดาวน์โหลดมิวสิกวิดีโอต่างประเทศมาดูบ่อยๆ แล้วก็เต้นตาม เมื่อเวลาออกเล่นคอนเสิร์ตกับพี่ชาย ก็จะได้ท่าใหม่ๆ มาเรื่อย ๆ[72] ความชื่นชอบในวัฒนธรรมฮิปฮอป มาริโอ้เรียกว่า "เข้าขั้นบ้า" และรักเป็นชีวิตจิตใจ ครั้งหนึ่งดูภาพยนตร์เรื่อง 8 Mile ภาพยนตร์เกี่ยวกับนักร้องเพลงแร็ป นำแสดงโดยเอ็มมิเน็ม มาริโอ้เล่าให้ฟังว่า เมื่อดูแล้วถึงขนาดขนลุก น้ำตาซึม เลยทีเดียว[69] ส่วนศิลปินแนวฮิปฮอปที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ เช่น โจอี้ บอย ,ดาจิม, ทูแพ็ก ,แอลแอล คูล เจ, คริส บราวน์ และ ที.ไอ.[73] นอกจากนี้ยังฟังเพลงไทยสากลประเภทอื่น อย่างในตอนเด็กจะฟัง อนันต์ บุนนาค และ วงหินเหล็กไฟ เป็นต้น[71] สำหรับนักแสดงที่มาริโอ้ชื่นชอบคือ อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม[74] ชอบที่วิธีการพูดจา การดำเนินชีวิต และแนวคิด[5] ซึ่งอนันดาก็ทราบว่า มาริโอ้ดูเขาเป็นแบบ และพูดว่า "เขาเป็นคนที่มีแววมากๆ เวลาเห็นเขาแล้วรู้สึกว่า อยากให้เขาได้ดี"[75]งานอดิเรกอย่างอื่น มาริโอ้ยังชอบเลี้ยงปลากัดประเภทสวยงาม ตั้งแต่เด็ก ๆ เคยเลี้ยงจำนวนมากสุดถึง 70 ตัว และเอาไปประกวดได้ถ้วยรางวัลระดับประเทศมาแล้วด้วย[72] นอกจากปลากัดแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เลี้ยงปลามาหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ปลาออสการ์ ปลาหมอ ปลาตะเพียน หรือปลาทอง[9] แต่ปัจจุบันไม่ได้เลี้ยงแล้ว เนื่องจากไม่มีเวลา ส่วนดอกไม้ที่ชอบคือดอกกล้วยไม้ เพราะที่บ้านปลูกเยอะ[76] มีหลายสีและดูแลรักษาได้ง่าย[77]
เรื่องการแต่งตัว แต่ก่อนจะชอบแต่งตัวแบบแฟชั่นฮิปฮอป ตอนนี้ก็แต่งอยู่บ้าง แต่อาจมีเปลี่ยนบ้างเวลาไปข้างนอก แต่งแบบแฟชั่นทันสมัยมากขึ้น จะมีใส่แจ๊กเก็ตหรือกางเกงขาเดฟมากขึ้น[78] มาริโอ้มีรองเท้าผ้าใบยี่ห้อไนกี้ร่วม 50 คู่ (ข้อมูลเดือนพฤษภาคม 2551) โดยซื้อและใช้ร่วมกับพี่ชาย[12]
ในวันว่างของมาริโอ้ในปัจจุบัน มักจะหมดไปกับการเล่นสเกตบอร์ด เจอเพื่อนสนิท และอยู่กับครอบครัว ส่วนกิจกรรมไอที ออนไลน์เป็นสิ่งที่ไม่ชอบนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เล่น แต่จะค้นหาข้อมูลที่ชอบมากกว่าเช่นเรื่องเพลง กับเว็บไซต์ของเล่น[79] และจากการที่ระยะหลังที่ไม่ค่อยมีเวลาว่างจึงหันมาสะสมของเล่นเกี่ยวกับฮิปฮอปแบบจำกัดจำนวนผลิตแทนและสะสมตัวการ์ตูนครอบครัวซิมป์สัน[5] ส่วนไฮไฟฟ์และเอ็มเอสเอ็น มาริโอ้ไม่ได้เล่น และเคยออกมาเตือนให้ระวังพวกล่อลวงที่อ้างเป็นมาริโอ้[80]
[แก้] บุคลิกและนิสัย
นิสัยของมาริโอ้ มาริโอ้จะเป็นคนรักธรรมชาติ เพราะคุณพ่อที่เป็นคนชอบอ่านหนังสือและชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับธรรมชาติ จึงทำให้ชอบธรรมชาติเหมือนกัน มาริโอ้เป็นคนค่อนข้างพูดน้อย เป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยกล้าพูด กล้าแสดงออก[60] เป็นคนเครียด ๆ ปกติจะเป็นคนคิดมาก[12] อย่างเรื่องข่าวไม่ดี แต่จะเป็นคนที่ค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวเองและเป็นคนมองโลกในแง่ดี ตอนเด็กๆ ยังมีนิสัยดื้อเงียบ ถ้าใครบอกว่าไม่ให้ทำอะไรจะชอบแอบทำ อย่างเช่น ถ้าไม่ให้เล่นปะทัดก็จะแอบซื้อมาจุด ไม่ให้ขี่จักรยานไปไกลๆ ก็จะขี่ไป[9] และเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง ถ้าไม่รู้จักกันจะมองว่าเป็นคนหยิ่ง จะนั่งเงียบๆ ไม่คุยด้วย แต่ถ้าสนิทด้วย จะพูดทั้งวัน[69] ยังมองข้อเสียตัวเองอีกว่า ชอบเก็บอะไร ๆ ไว้ในใจจนล้น แล้วปล่อยมาทีเดียว ซึ่งก็เรียนรู้ทีหลังว่าจะค่อย ๆ ปล่อยออกมา[60] มาริโอ้พูดถึงตัวเองเรื่องนิสัยส่วนดี อย่างเช่น เป็นคนที่เข้ากับคนง่าย ทำให้ไม่มีปัญหาเวลาทำงาน และเป็นคนพูดจาไพเราะ ส่วนนิสัยที่อยากแก้ไขคือ เป็นคนนอนขี้เซา ชอบตื่นสาย[18]ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับภาพยนตร์ รักแห่งสยาม พูดถึงมาริโอ้ว่า ที่รับเลือกมาริโอ้มาเล่น รักแห่งสยาม นอกเหนือจากเรื่องหน้าตาแล้ว "เขามีดีกว่านั้น ดูจากแววตาแล้ว เขาไม่ใช่คนเลื่อนลอย ทำหน้าหล่อไปวันๆ ... เขารักครอบครัว เขาเป็นคนจริงใจ ใสซื่อ เหมือนแก้วน้ำใบใหญ่ ๆ ใส่อะไรลงไปก็ได้"[31] ส่วนผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง ฝัน-หวาน-อาย-จูบ ราเชนทร์ ลิ้มตระกูล พูดถึงมาริโอ้ว่า "มาริโอ้เป็นเด็กที่น่ารักมาก เขามีความซื่อสัตย์ต่อความคิดของตัวเองมาก ซื่อสัตย์กับคนที่เขาทำงานด้วยมากๆ เขาไม่หยิ่ง แล้วก็ยังคิดอยู่เสมอว่าเขาเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง...ผมเชื่อว่าทุกคนที่ได้ร่วมงานกับโอ้หรือทำงานกับโอ้คงไม่แปลกที่จะตกหลุมรักเขา"[81]
[แก้] ภาพลักษณ์และกับสื่อบันเทิง
[แก้] ภาพลักษณ์
จากกระแสตอบรับที่ดีจากภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม ในบทบาทชายรักชาย จึงได้กระแสตอบรับที่ดีเป็นจำนวนมาก มาริโอ้เคยกล่าวว่าแฟนคลับของมาริโอ้ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง[20][76] มาริโอ้ให้ความเห็นว่า "ก็รู้สึกดีครับ ผมก็ไม่ได้แอนตี้เกย์ หรือกะเทยอยู่แล้ว เค้าก็เป็นคนในสังคมเหมือนกัน มีหัวใจเหมือนกัน ไม่ว่าใครจะชอบผม จะเพศไหนก็ไม่สำคัญ ผมก็ชอบหมดแหละครับ เค้าก็มีความน่ารักในแบบของเค้านะ"[82] แต่ก็มีกระแสตอบรับไม่ดีบ้าง มาริโอ้เล่าว่า ไปเดินตลาดแถวบ้าน เจอคนที่ไม่ชอบบทบาทในภาพยนตร์ พอเดินผ่านไป ก็มีเสียงตะโกนไล่หลังว่า "ไอ้เกย์"[60]เนื่องจากเป็นคนพูดน้อย จึงมีข่าวออกมาว่า "หยิ่ง" มาริโอ้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า "โอ้เพิ่งจะเข้ามาในวงการนี้ได้ไม่นาน ก็พยายามทำให้ดีที่สุดครับ อาจจะไม่ค่อยพูดแต่ก็พยายามฝึกและพยายามปรับตัวอยู่ครับ"[83] และพูดเสริมในอีกสัมภาษณ์หนึ่งว่า "โอ้เป็นตัวโอ้ ไม่ได้หยิ่ง แฟนคลับโอ้เข้าถึงได้ โอ้ก็เหมือนเดิม"[84] แต่จากข่าวลือเรื่องหยิ่งนี้เอง เสนาหอย นำมาเขียนในพ็อกเกตบุ๊ก หอยสมบูรณ์ เกี่ยวกับมาริโอ้ว่า ตอนแรกคิดว่าหยิ่ง แต่พอได้คุยจริง ตลกและยังกล้าหอมแก้มเขาอีกด้วย[85]
อดีตผู้จัดการส่วนตัวของมาริโอ้ พูดถึงมาริโอ้ว่า "หน้าลูกครึ่งฝรั่ง-จีน ในมุมมองของโมเดลลิ่ง เป็นส่วนผสมที่ค่อนข้างโดนใจวงการบันเทิงบ้านเรา เพราะเป็นแนวหล่อน่ารัก มากกว่าจะเซ็กซี่ฝรั่งจ๋า"[79] และจากภาพลักษณ์ใส ๆ นี้เอง รถยนต์ฮอนด้า แจ๊ส ใหม่ ซึ่งต้องการกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่จึงเลือกมาริโอ้เป็นพรีเซนเตอร์ กลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใช้รถคันแรก[86] ซึ่งก่อนหน้านั้นมาริโอ้มาร่วมประชาสัมพันธ์ผลงานแนวฮิปฮอปกับพี่ชาย มาร์โค แต่เนื่องจากอาจขัดต่อภาพลักษณ์ใส ๆ ที่ฮิปฮอปมีภาพลักษณ์เป็น "แบดบอย" และอาจขัดต่อสัญญา ทั้งคู่จึงมิได้โชว์ตัวและออกงานด้วยกันในฐานะ PsyCho & Lil’Mario ในช่วงที่อยู่ในระยะเวลาของสัญญา[87]
[แก้] มาริโอ้กับสื่อบันเทิง
ในการจัดอันดับ "โพลดารา" ของ บันเทิงไทยรัฐ เมื่อปลายปี 2550 ซึ่งเป็นการสอบถามจากกลุ่มศิลปิน ดารา นักร้องกว่า 200 คน มาริโอ้ได้รับการลงคะแนนเป็นอันดับ 2 ในหมวด ดาวรุ่งในดวงใจ รองจากเขมนิจ จามิกรณ์[88] ต่อมาในการจัดอันดับโพลดาราปี 2551 ได้รับดาวรุ่งในดวงใจเป็นที่ 1 ได้คะแนน 36.0%[89] ในวันหนังไทย ประจำปี พ.ศ. 2551 ที่มีการประกาศรางวัลสุดสุดแห่งปี 2550 มาริโอ้ได้รางวัลดาราชายหน้าใหม่ที่มาแรงแบบสุด ๆ [90] ในการจัดรางวัลสยามดารา สตาร์ ปาร์ตี้ 2008 ของหนังสือพิมพ์สยามดารา ยังได้รับรางวัลดาวรุ่งมาแรงชายอีกด้วย[91] และในงานมอบรางวัลของสถานีวิทยุอีเอฟเอ็ม มาริโอ้ได้รับรางวัล "หน้าใหม่น่าหม่ำ" ซึ่งเป็นผลจากการลงคะแนนของผู้ฟัง[92] ในงานประกาศผลรางวัลทีนชอยส์อวอร์ดสของ นิตยสารเซเวนทีน ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551 มาริโอ้ได้รับรางวัล หนุ่มฮ๊อตแห่งปี[93] อีก 2 วันถัดมายังได้รับรางวัล Rising Star หรือเซเลบริตี้หน้าใหม่ที่น่าจับตา จากงานโอเค! อวอร์ดส 2008[94] อีกทั้งยังได้รับรางวัล Hot Guy จากงาน in Young Generation Choice 2008 ที่จัดขึ้นโดยนิตยสาร อิน[95] และเนื่องจากการถ่ายตามนิตยสารอย่างมากมาย ทำให้ได้รับรางวัล The Most Popular Magazine Cover สำหรับนายแบบและนางแบบที่ขึ้นปกนิตยสาร และได้รับความนิยมมากที่สุดตลอดระยะเวลา 3 ปี จัดขึ้นโดยสมาคมนิตยสารแห่งประเทศไทย[96] ต่อมาในปี 2009 ได้รับรางวัลหนุ่มเซ็กซี่ในงานมอบรางวัล In Young Generation Choice 2009[97]สำหรับข่าวในสื่อบันเทิง จากภาพลักษณ์เกย์ มาริโอ้มีข่าวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในทำนองมีความสัมพันธ์กับชายอื่น อย่าง ช่วงวิทย์ รัตนชำนอง นักร้องเพลงลูกทุ่ง[98], ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับภาพยนตร์ รักแห่งสยาม[99] และ ฉัตรชัย เปล่งพานิช นักแสดงและผู้กำกับ ซึ่งมาริโอ้ก็ออกมาปฏิเสธเรื่องความสัมพันธ์ดังกล่าว นอกจากนั้นยังมีเรื่องราวข่าวไม่จริง เสียหาย ของมาริโอ้ ที่ถูกโพสต์ทางอินเทอร์เน็ต หรือเนื้อหาทางสื่อบันเทิง เช่น ดังแล้วหยิ่ง ดังแล้วเรื่องมาก ดังแล้วไม่ยอมทำงาน มาทำงานสาย[12] กระแสข่าวต่าง ๆ ที่ออกมาในสื่อบันเทิง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกย์ เรื่องหยิ่งและเรื่องการคบหากับกุ๊บกิ๊บ สุมณทิพย์[100] จะมีในแง่ลบอยู่หลายเรื่อง ซึ่งบางครั้งเจอข่าววิจารณ์แรง ๆ ก็ถึงกับร้องไห้เลย[101] จนมาริโอ้แสดงความรู้สึกว่า "โอ้เข้าใจว่า คนเราต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง แต่การพูดกันแรงๆ ว่ากัน มันเป็นการบั่นทอนจิตใจ ทำให้ไม่มีกำลังใจ[102] และพูดเสริมว่า "ผมว่าคนเราชอบมองกันที่ขาวดำ แต่จริง ๆ แล้วมันก็สีเทา มีบ้างที่ผิดพลาด คิดว่าเราน่าจะมองกันในแง่บวกบ้าง จะรู้ว่าสังคมเรามีแต่คนน่ารักเยอะ" ทั้งบอกจุดยืนการเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงว่า "ผมอยู่ตรงนี้ผมทำเพื่อพ่อเพื่อแม่ผม เพื่อครอบครัวผม"[103] และถึงแม้จะมีข่าวไม่ดีออกมา แต่เขาก็บอกว่าก็มีคนให้การตอบรับเขาดีมาก[104] แต่ก็รู้สึกเข้าใจกับการนำเสนอข่าว "เราทำงานทางด้านนี้ก็ต้องมีข่าวอยู่แล้ว มันต้องคู่กันไป"[105]
เรื่องการตอบคำถามกับสื่อบันเทิง มาริโอ้จะพูดตรง ๆ โดยให้เหตุผลไว้ว่า "ถ้าเรามานั่งเสแสร้ง ตอบคำถามดีมาก ๆ ผมคิดว่ามันไม่จริงครับ ในโลกนี้มันไม่ใช่แบบนั้น เรามีอะไรก็พูดกันตรง ๆ ดีกว่า"[12]
[แก้] กิจกรรม
[แก้] กิจกรรมการกุศล
มาริโอ้ มีส่วนร่วมในกิจกรรมการกุศล อย่างเช่นเมื่อครั้งประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม ที่ร่วมหารายได้ มูลนิธิเด็กโรคหัวใจในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ไม่ว่าจะร่วมทำกระปุกออมสินรูปหัวใจ ในรูปแบบเปเปอร์มาร์เช่ต์ ให้คนดูหนังได้บริจาคเงิน และคอนเสิร์ต "รักแห่งสยาม Nokia Music Presents The Love of Siam Special Greeting" ที่หารายได้เพิ่มเติมเข้ามูลนิธิ[106]อีกทั้งยังร่วมกิจกรรมของ นิตยสารสุดสัปดาห์ ฉลองการก้าวเข้าสู่ปีที่ 26 ในโครงการ "คนหล่อ ขอทำดี"[107] โดยรับเงินบริจาคแลกกับการกอด ได้เงินกว่า 32,600 บาท ไปมอบให้กับเด็กด้อยโอกาสในการดูและของมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน วัดบางไส้ไก่[108]มาริโอ้ได้ร่วมงาน “Power of Love for Better Life” เป็นการหารายได้สนับสนุนการจัดซื้ออุปกรณ์เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยร่วมวาดลวดลายบนถังออกซิเจน และรถเข็นผู้ป่วย ภายใต้แนวคิด "Happiness"[109] และในการเล่นเกมโชว์ในรายการ 1 ต่อ 100 ทางช่อง 3 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2551 มาริโอ้นำเงินที่ได้จากการแข่งขัน 57,500 บาท มอบให้กับศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน บ้านกาญจนาภิเษก[110][111] มาริโอ้ยังมีส่วนร่วมในงาน "รวมพลคนทำดี Pink Party ทำดีเพื่อพ่อ" จัดโดยสำนักพิมพ์ดีเอ็มจี ร่วมกันทำความดี โดยมีกิจกรรมรับบริจาคปัจจัย อาหาร ยาและเครื่องใช้เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุหมุนนาร์กิสชาวพม่า ผ่านทางวัดพระรามเก้ากาญจนาภิเษก[112]
[แก้] การรณรงค์และกิจกรรมการส่งเสริม
ในวันงดสูบบุหรี่โลก ประจำปี พ.ศ. 2551 ซึ่งจัดโดย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มาริโอ้ได้รับเลือกเป็นพรีเซนเตอร์รณรงค์โครงการนี้[113] และยังเป็นพรีเซนเตอร์ต่อต้านยาเสพติดให้กับทางสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด[114][115] ที่จัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ ภายใต้ชื่อกิจกรรม “ทำความดี ตามคำพ่อ” โดยน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานไว้ในโอกาสต่างๆ 5 คำสอนคือ ความพอดี, ความเพียร, การเอาชนะใจตน, ความซื่อสัตย์ และหนังสือเป็นออมสิน โดยมาริโอ้ เป็นตัวแทนของ “ความซื่อสัตย์”[116]ในวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2551 สำหรับการจัดงาน “มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2551” ภายใต้แนวคิด “วิทยาศาสตร์ สร้างชาติ สร้างอนาคต” จัดโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาริโอ้เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับงานนี้ร่วมกับศิรพันธ์ วัฒนจินดา ในงานครั้งนี้[117]
[แก้] ผลงาน
มาริโอ้เริ่มเข้าสู่วงการด้วยการถ่ายแบบตามนิตยสาร โดยเริ่มถ่ายจากนิตยสารเดอะบอย และมีผลงานภาพยนตร์โฆษณามากกว่า 30 เรื่อง[60] มีผลงานถ่ายมิวสิกวิดีโออีกหลายตัว และมีผลงานภาพยนตร์เริ่มจากภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม รวมทั้งผลงานเพลงร่วมกับพี่ชาย[แก้] โฆษณา
[แก้] อัลบั้มเพลง
| [แก้] มิวสิกวิดีโอ
[แก้] ละคร
|
[แก้] ภาพยนตร์
ปี | ชื่อ | บทบาท | หมายเหตุ |
---|---|---|---|
พ.ศ. 2550 | รักแห่งสยาม | โต้ง | |
พ.ศ. 2551 | เฟรนด์ชิพ เธอกับฉัน | สิงหา | |
ฝัน-หวาน-อาย-จูบ | หมี | ตอน "จูบ" | |
พ.ศ. 2552 | บุปผาราตรี 3.1 และ บุปผาราตรี 3.2 | หรั่ง | |
พ.ศ. 2553 | สาระแนสิบล้อ | เอก | |
สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า...รัก | โชน | ||
เดอะด็อก | |||
เฟิสต์เลิฟ |
[แก้] รางวัล
ปี พ.ศ. | รางวัล | สาขา | ผล | ภาพยนตร์ |
---|---|---|---|---|
2551 | รางวัลเอเชียนฟิล์ม | นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม | เสนอชื่อเข้าชิง[24] | รักแห่งสยาม |
สตาร์พิกส์อวอร์ด | นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม | ได้รับรางวัล[118] | ||
รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง | นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม | เสนอชื่อเข้าชิง[119] | ||
เฉลิมไทยอวอร์ด | นักแสดงชายในบทนำจากภาพยนตร์ไทยแห่งปี | เสนอชื่อเข้าชิง[120] | ||
สตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส | ผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยม | เสนอชื่อเข้าชิง[28] | ||
เทศกาลหนังซิเนมะนิลา | นักแสดงชายยอดเยี่ยม | ได้รับรางวัล[29] | ||
2552 | ท็อปอวอร์ดส 2008 | ดาวรุ่งชายยอดเยี่ยม สาขาภาพยนตร์ | ได้รับรางวัล[121] | เฟรนด์ชิพ เธอกับฉัน |
2553 | ท็อปอวอร์ด 2009 | ดารานำชายยอดเยี่ยม สาขาภาพยนตร์ | เสนอชื่อเข้าชิง | บุผผาราตรี 3.1 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น