07 มิถุนายน 2553

มาริโอ้ เมาเร่อ Mario Maurer Profile

มาริโอ้ เมาเร่อ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

มาริโอ้ เมาเร่อ
Mario Maurer at Star Entertainment Awards 2007.jpg
รางวัลสตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส 2007
ชื่อจริงมาริโอ้ เมาเร่อ
ชื่อเล่นโอ้
เกิด4 ธันวาคม พ.ศ. 2531 (อายุ 21 ปี)
Flag of ไทย กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
ชื่ออื่นณัฐวุฒิ, ไอ้แว่น[1]
อาชีพนักแสดง, นายแบบ, นักร้อง
ปีที่แสดง2547-ปัจจุบัน
ผลงานเด่นโต้ง รักแห่งสยาม
พ.ศ. 2550
แนวเพลงฮิปฮอป
ค่ายเอ็นวายยูคลับ
ส่วนเกี่ยวข้องPsyCho & Lil'Mario
ข้อมูลบนเว็บ IMDb
ฐานข้อมูลภาพยนตร์ไทย (ThaiFilmDb)
เว็บทางการ
มาริโอ้ เมาเร่อ (อังกฤษ: Mario Maurer) (ชื่อเล่นว่า โอ้) เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2531 เป็นนักแสดงชาวไทย เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 16 ปี โดยได้รับการติดต่อจากโมเดลลิ่งในสยามสแควร์ ให้ถ่ายงานโฆษณาเริ่มจากงานถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา เช่น โฆษณาเอ็กซิท โรลออน ขนมแจ็ค เดอะพิซซ่าคอมปานี และยังได้ถ่ายแบบอยู่เรื่อยมา อย่าง เธอกับฉัน และหนังสือวัยรุ่นอีกหลายเล่มและถ่ายมิวสิกวิดีโอ อีกหลายตัวเช่น กุญแจที่หายไป ของ ปาล์มมี่, ปากดีขี้เหงาเอาแต่ใจ ของ มิล่า เป็นต้น
จนในปี 2550 มีผลงานสร้างชื่อจากภาพยนตร์ไทยเรื่อง รักแห่งสยาม ซึ่งจากบทบาท "โต้ง" ใน รักแห่งสยาม นี้ ทำให้มาริโอ้ได้รับรางวัลจากภาพยนตร์เรื่องนี้ มาริโอ้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากนิตยสารสตาร์พิกส์ รับรางวัลจากเทศกาลหนังซีเนมะนิลา ที่จัดขึ้นที่ประเทศฟิลิปปินส์ สาขานักแสดงชายยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง รางวัลเอเชียนฟิล์ม สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Best Supporting Actor) อีกทั้งยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิงครั้งที่ 16 ประจำปี 2550 ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และรางวัลสตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส ครั้งที่ 6 ในสาขาผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยม
มาริโอ้ยังร่วมงานกิจกรรมการกุศลอยู่หลายครั้ง รวมถึงยังเป็นพรีเซนเตอร์ ในวันงดสูบบุหรี่โลก ประจำปี พ.ศ. 2551 ซึ่งจัดโดย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และเป็นพรีเซนเตอร์ต่อต้านยาเสพติดให้กับทางสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด

เนื้อหา

[ซ่อน]

[แก้] ประวัติ

[แก้] ชีวิตช่วงแรก

มาริโอ้ เมาเร่อ เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2531[2] ที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน กรุงเทพฯ ชื่อมาริโอ้นั้น คุณพ่อเป็นคนตั้งให้ โดยตั้งชื่อตามนักแข่งมอเตอร์ไซค์ชาวอิตาเลียน[3] และมีชื่อภาษาไทยว่า ณัฐวุฒิ สุวรรณรัตน์[4] เหตุที่มีชื่อภาษาไทยเพราะ แต่ก่อนโรงเรียนไม่ให้ใช้ชื่อภาษาอังกฤษ (ชื่อปัจจุบันตามบัตรประจำตัวประชาชนคือ มาริโอ้ เมาเร่อ) [5] มาริโอ้เข้าเรียนอนุบาลที่โรงเรียนอนุบาลลีนา[6] ระดับประถมศึกษา-มัธยมศึกษา ที่ โรงเรียนเซนต์ดอมินิก[2] และศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่คณะมนุษยศาสตร์ เอกสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยรามคำแหง[1] แต่ต่อมาย้ายเรียนในสาขานิติศาสตร์แทน[7] ในช่วงที่มาริโอ้เลือกเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา เป็นช่วงเวลาขณะที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม ก็มีการโต้เถียงกับแม่เรื่องมหาวิทยาลัยที่จะเลือกเรียน โดยทางคุณแม่อยากให้เลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ แต่สุดท้ายมาริโอ้ก็ตัดสินใจเลือกเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะต้องทำงานไปด้วย และอยากหาเงินช่วยที่บ้าน อีกทั้งค่าใช้จ่ายของมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า[8]
ครอบครัวของมาริโอ้ค่อนข้างมีปัญหาทางด้านการเงิน[6] พออายุได้ 16 ปี ได้เจอกับโมเดลลิ่งชื่อ นิรุณ ลิ้มสมวงศ์ หรือ โกโก้[9][10] ที่สยามสแควร์และเป็นคนแรกที่ชักชวนไปถ่ายแบบ เมื่อเห็นตรงนี้เป็นโอกาส และเป็นโอกาสที่ดีจะได้หาเงินไปช่วยที่บ้านด้วยจึงตัดสินใจรับงาน[6] โดยครั้งแรกเป็นการถ่ายแบบจากหนังสือเดอะบอย สไตล์ชุดทหาร[11] และผลงานที่สร้างชื่อเสียงครั้งแรกกับผลงานโฆษณาตัวแรก คือ เอ็กซิท โรลออน ถ่ายทำแถวสะพานมัฆวานรังสรรค์[11] ซึ่งได้เงินมาก้อนแรก 7 หมื่นบาท[6] และยังมีโฆษณาอื่นอย่าง ขนมแจ็ค เดอะพิซซ่าคอมปานี และยังได้ถ่ายแบบอยู่เรื่อย ๆ อย่าง เธอกับฉัน และหนังสือวัยรุ่นอีกหลายเล่ม และถ่ายมิวสิกวิดีโออีกหลายตัว มิวสิกวิดีโอตัวแรกที่ถ่ายทำเป็นของวงสิงห์เหนือเสือใต้ ชื่อเพลง Good[12] และมิวสิกวิดีโอตัวอื่นเช่น กุญแจที่หายไป ของ ปาล์มมี่, ปากดีขี้เหงาเอาแต่ใจ ของ มิล่า เป็นต้น[2]

[แก้] รักแห่งสยาม

สัมภาษณ์ร่วมกับทีมนักแสดงและผู้กำกับเรื่อง รักแห่งสยาม
ในปี 2550 ถือเป็นปีแจ้งเกิดของมาริโอ้ โดยมีคนติดต่อเข้ามาและส่งบทสั้นๆ ภาพยนตร์ รักแห่งสยาม มาให้ดู มาริโอ้จึงลองไปทดสอบการแสดง จนได้รับบทตัวเอกในภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม ของชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ซึ่งชูเกียรติให้ความเห็นที่รับมาริโอ้มาเล่นเพราะ ชอบแววตา สามารถสื่ออารมณ์ผ่านแววตาได้ดี[9] สำหรับด้านการแสดงก่อนหน้านั้นก็เคยเรียนการแสดงมาบ้าง ที่สมาคมผู้กำกับ แล้วพอได้มาเล่นก็ต้องไปเวิร์คชอปกับนักแสดงอื่น[13] ภาพยนตร์เรื่องนี้ มาริโอ้ รับบทเป็น "โต้ง" เด็กชายวัยรุ่น ชั้น ม.6 ที่กำลังมีความสับสนกับการเลือกทางเดินในชีวิต[14] ในระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์ มาริโอ้ยังได้ทำผลงานเพลงใต้ดิน แนวฮิปฮอป[15] ร่วมกับพี่ชายของเขา มาร์โค เมาเร่อ ในนาม PsyCho & Lil’Mario กับอัลบั้มแรก PsyCho & Lil’Mario:Dem Crazy Boyz สังกัดเอ็นวายยูคลับ ออกวางขายเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2550[16] เป็นอัลบั้มเพลงภาษาอังกฤษล้วน โดยมาริโอ้ทำหน้าที่เป็นไฮพ์แมน (hypeman) ในอัลบั้มนี้[17] ซึ่งเคยได้ขึ้นร้องโชว์ในงานแฟตเฟสติวัลอีกด้วย[18]
มาริโอ้ เมาเร่อ รอบปฐมทัศน์ภาพยนตร์เรื่อง 3 อหังการ์ เจ้าสุริยา
หลังจากภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม ออกฉาย ก็ได้รับกระแสตอบรับอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นกระทู้มากมายตามเว็บไซต์ชื่อดังต่างๆ หรือตามเว็บบอร์ดยอดฮิตของอีกหลายๆ เว็บไซต์[19] รวมถึงมีการตั้งคำถามขึ้นว่า มาริโอ้เป็นเหมือนในหนังหรือไม่ มาริโอ้ให้คำตอบว่า "คงมีคนอินอยู่แล้ว แต่ถ้าใครที่ติดตามผลงานของโอ้จะรู้ว่าเราไม่ใช่ โอ้เป็นนักแสดง เมื่อผู้กำกับสั่งโอ้ก็เป็น "โต้ง" แต่พอผู้กำกับสั่งคัต โอ้ก็เป็นโอ้ จริงๆ มันก็มีคนเข้ามาถามเลย ว่าโอ้เป็นเกย์หรือเปล่าเนี่ย ถ้าคนรู้จักเรา จะรู้ว่าโอ้ไม่ใช่แน่นอน โอ้ชอบผู้หญิงแน่นอน"[20] มาริโอ้ก็พูดถึงฉากที่มีคนพูดถึงมากนี้ว่า "แต่ก็ต้องยอมรับว่าฉากจูบเป็นฉากที่ยากฉากนึง ที่ผมต้องทำสมาธิมากๆ และทีมงานก็ต้องพยายามบิ้วท์ ให้เราเครียดๆ เข้าไว้ ตอนถ่ายใจนึงก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนไม่ใช่ตัวเรา แต่แม่ผมสอนมาว่าเรามาทำงาน เราเป็นนักแสดง ถ้าเราทำไปแบบครึ่งๆ กลางๆ แสดงอาการหวั่นกลัวออกมาให้เห็น คนดูก็จะไม่เชื่อ ผมเลยทำทุกอย่างให้มันเต็มที่"[21]
รางวัลที่ได้รับจากภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม มาริโอ้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากนิตยสารสตาร์พิกส์ ซึ่งได้เสียงวิจารณ์การแสดงจากภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "เนื่องจากบุคลิกนิ่งๆ คำพูดคำจาน้อยๆ แต่เขากลับเผยทุกอย่างผ่านแววตาอันสับสน หวาดกลัว ซ้ำถูกความหงอยเหงาเข้าปกคลุมชีวิตมาเนิ่นนาน แม้ดูเหมือนไม่หวือหวาอะไร แต่มาริโอ้คือคนที่ทำให้หนังเรื่องนี้ระทมจนขยี้ใจผู้ชมเป็นผุยผง โดยการแสดงแบบ 'น้อยได้มาก'"[22] และในด้านงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติฮ่องกง พ.ศ. 2551 มาริโอ้ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอเชียนฟิล์ม สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Best Supporting Actor) [23] แต่พ่ายให้กับฮองลี ซุน นักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง มองโกล[24] อีกทั้งยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิงครั้งที่ 16 ประจำปี 2550 ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม[25] รางวัลสตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส ครั้งที่ 6 ที่จัดโดยสมาคมนักข่าวบันเทิง ในสาขาผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยม[26] แต่พ่ายให้กับอัครา อมาตยกุล จากภาพยนตร์เรื่อง ไชยา ทั้ง 2 รางวัล[27][28]
นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลจากเทศกาลหนังซีเนมะนิลา ที่จัดขึ้นที่ประเทศฟิลิปปินส์ สาขานักแสดงชายยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้[29] โดยพูดถึงการแสดงของเขาว่า "มาริโอ้มีการแสดงที่มีวุฒิภาวะในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลาย แม้ท่าทางภายนอกของเขาจะดูนิ่งสงบก็ตาม แต่มาริโอ้กลับแสดงให้เห็นการต่อสู้ในจิตใจของเขา ในการที่จะแบกรับภาระความรู้สึกของครอบครัว เพื่อน กลุ่มสังคม ความรัก และภาวะทางเพศของเขา"[30]

[แก้] 2551 - ปัจจุบัน

มาริโอ้ โชว์ตัวในงานต่าง ๆ ซึ่งบางวันถึงกับมีงานวันละ 4 งานก็มี
หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม สร้างความโด่งดังให้กับมาริโอ้อย่างมาก ส่งผลให้ค่าตัวเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีงานเพิ่มขึ้นมามากมาย บางวันถึงกับต้องทำงานวันละ 4 งานก็มี รวมถึงรับเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์ดังอย่าง โฟร์โมสต์ รถยนต์ฮอนด้า แจ๊ซ[31] และแป้งเบบี้มายด์[32]ซึ่งทำให้ยอดขายเบบี้มายด์เติบโตถึง 50%[33] นอกจากนี้ยังมีผลงานเล็กๆ เป็นซีดีสอนภาษาอังกฤษ เป็นรายการถ่ายชีวิตประจำวันของมาริโอ้ มีลักษณะคล้ายๆ กับหนังสั้น[34]
ผลงานภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ของมาริโอ้คือเรื่อง เฟรนด์ชิพ เธอกับฉัน ของค่ายไรท์ บิยอนด์ กำกับโดย ไรท์ เบรนทีม[35]เป็นเรื่องราวเมื่อราว 25 ปีก่อน[36] โดยมาริโอ้รับบทเป็นสิงหา เด็ก ม.6 ที่ชอบนางเอกที่ชื่อ มิถุนา แสดงโดยอภิญญา สกุลเจริญสุข[37] ภาพยนตร์เรื่องนี้มาริโอ้ผ่านการทดสอบบท โดยผู้จัดการส่วนตัวสมัครผ่านทางเว็บไซต์ ซึ่งเรื่องนี้ได้แสดงออกเยอะขึ้นกว่าเรื่องแรก ได้แสดงความรู้สึกหลายอารมณ์[38] สำหรับคำวิจารณ์การแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ ณัฎฐ์ธร กังวาลไกล จากเว็บไซต์ thaicinema.org วิจารณ์ไว้ว่า "ความสำเร็จและคำยกย่องที่เขาได้รับจากหนังเรื่องก่อนหน้าไม่ใช่เรื่องฟลุ๊ค แม้ว่าการแสดงของเขาจะลดความนิ่งลงไป...แต่เขาก็สามารถแสดงอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในใจลึก ๆ และความรักได้เป็นอย่างดี" และยังเปรียบเทียบมาริโอ้ว่า "น่าจะเรียกได้ว่ามาริโอ้คืออำพลในรุ่นของเขา"[39] ณัฐพงษ์ โอฆะพนม จากหนังสือพิมพ์คมชัดลึก พูดถึงการรับบทเป็นสิงหาว่า "มาริโอ้ทำให้สิงหา เป็นตัวละครที่มีมิติมากที่สุดในหนังเรื่องนี้"[40] แต่ถึงกระนั้นเขาก็ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแตงกวาดอง ในสาขานักแสดงนำชายยอดแย่ จากการแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้[41]
นิตยสารสตาร์พิกส์ว่า มาริโอ้จะร่วมเล่นแสดงกับอภิญญา สกุลเจริญสุข อีกในภาพยนตร์ของบัณฑิต ฤทธิถกล ในภาพยนตร์บุญชูภาคใหม่ ของค่ายไฟว์สตาร์[42] ในบท บุญโชค ลูกของบุญชู ซึ่งบัณฑิต ฤทธิถกล ได้ทาบทามมาริโอ้และได้แคสติ้งจนผ่านเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยกเลิกและหานักแสดงหน้าใหม่แทน[43] มาริโอ้ตอบปฏิเสธรับบทลูกของบุญชู พร้อมแจงเหตุผลว่า คิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับบทบาทตัวละครนี้ พร้อมทั้งกราบขอโทษทางผู้ใหญ่แล้วที่ไม่สามารถรับเล่นได้[44] และยังมีข่าวคราวว่าจะเป็นพระเอกในภาพยนตร์รักสามเส้า ให้กับโมโนฟิล์ม[45] เรื่อง รูมเมท กำกับโดย ปิติ จตุรภัทร์ ที่มีข่าวว่ามีเนื้อเรื่องแนวภาพยนตร์เรื่อง ทรีซัม ภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2537 กำกับโดย แอนดรู เฟลมมิง[46] รับบทเป็นเด็กวัยรุ่นเล่นดนตรีอย่างกีตาร์[47] แต่หลังจากถ่ายได้เพียง 10% ก็ถูกปลดออกเนื่องจากเรื่องคิวไม่ลงตัว และวิทวัส สิงห์ลำพอง มารับหน้าที่แสดงแทน[48]
มาริโอ้ยังได้ร่วมงานในโปรเจก หนังรัก 4 เรื่อง 4 สไตล์ เรื่อง ฝัน-หวาน-อาย-จูบ (หรือ 4 Romance) โดยได้ร่วมแสดงในการกำกับของราเชนทร์ ลิ้มตระกูล (เคยร่วมงานถ่ายมิวสิกวิดีโอเพลง "กันและกัน") โดยแสดงในส่วนของโรแมนติกคอเมดี้ใน "จูบ"[49] บทบาทที่ได้รับ จากที่ผ่านมามีภาพลักษณ์แบบน่ารักสดใสขี้เล่น แต่ในเรื่องนี้จะดูโตขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง[50] ก่อนการแสดงเรื่องนี้ก็ไปเรียนการแสดงกับหม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุลด้วย ภาพยนตร์ในปี 2552 มาริโอ้ได้รับการทาบทามให้แสดงในภาพยนตร์ บุปผาราตรี 3.1 กำกับโดย ยุทธเลิศ สิปปภาค[51] โดยรับบทเป็น หรั่ง วัยรุ่นคนหนึ่งที่สามารถมองเห็นผีได้ มีอาชีพเสริมเป็นนักวาดการ์ตูนผี เหตุผลที่ผู้กำกับเลือกมาริโอ้มาแสดงเรื่องนี้เพราะชอบลักษณะการแสดงแบบน้อย ๆ เล่นน้อย ๆ พูดน้อย ๆ ซึ่งตรงกับบทที่เขียนในตัวของหรั่งพอดี[52] และแสดงในภาพยนตร์ภาคต่อ บุปผาราตรี 3.2 ที่ออกฉายเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน[53]
มาริโอ้ เปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัว จากนิรุณ ลิ้มสมวงศ์ หรือ โกโก้ มาเป็นนายศุภชัย ศรีวิจิตร หรือ เอเอ ซึ่งมีเรื่องการฟ้องร้องจากอดีตผู้จัดการเกี่ยวกับเรื่องสัญญา[54] จากนั้นแสดงละครเรื่องแรกเรื่อง ใต้ฟ้าตะวันเดียว เป็นละครเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างไทยและเกาหลี[55]
ต่อมาแสดงภาพยนตร์ที่ร่วมงานระหว่างบริษัทลักส์ 666 กับสหมงคลฟิล์ม เรื่อง สาระแนสิบล้อ ร่วมกับอารยา เอ ฮาร์เก็ต ,วิลลี่ แมคอินทอช, นาคร ศิลาชัย และ เกียรติศักดิ์ อุดมนาค[56] และนำแสดงในภาพยนตร์การกำกับเรื่องแรกของพุฒิพงศ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร แสดงร่วมกับพิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ ในภาพยนตร์เรื่อง สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า...รัก[57] และยังจะมีผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่อง เดอะด็อก กำกับโดยพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง[58] รวมถึงแสดงในภาพยนตร์เรื่อง เฟิสต์เลิฟ โดยปรัชญา ปิ่นแก้ว แสดงร่วมกับนวพล ลำพูน[59]

[แก้] ชีวิตส่วนตัว

[แก้] ครอบครัวและความสัมพันธ์

จากซ้ายไปขวา; มาร์โค (พี่ชาย) ,คุณแม่วรัญญา และมาริโอ้ เมาเร่อ
มาริโอ้ เป็นลูกครึ่ง ไทย-จีน-เยอรมัน มีคุณพ่อชื่อโรแลนด์ เป็นชาวเยอรมัน เจ้าของโรงงานผลิตสารส้ม ชื่อบริษัทอาร์ เอ็ม ซี[60] ที่จังหวัดนครนายก เพื่อส่งออกต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี และผลิตให้กับโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรเพื่อจำหน่ายในประเทศไทย[3] (คุณพ่อโรแลนด์ เมาเร่อ เสียชีวิตด้วยโรคไต ซึ่งเป็นอาการแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2551) [61][62] คุณแม่ของมาริโอ้ชื่อวรัญญา (ไทย-จีน) (ช่วยที่บ้านทำธุรกิจปั๊มน้ำมัน) โดยมาริโอ้ถูกเลี้ยงมาแบบไทยผสมฝรั่ง คือคุณพ่อจะเลี้ยงแบบตามใจ ส่วนคุณแม่จะมีกรอบ แต่ค่อนข้างมีความเป็นไทยสูง[20] และเลี้ยงแบบให้ช่วยเหลือตัวเอง[63] มาริโอ้สนิทสนมกับคุณพ่อและคุณแม่ เวลาว่างก็จะนั่งคุยกันทุกเรื่อง รวมทั้งเรื่องความรักด้วย[9] และถึงแม้มาริโอ้จะเป็นลูกครึ่ง จีน-เยอรมัน ก็สามารถพูดภาษาไทยได้ชัดถ้อยชัดคำ เพราะโตมาในเมืองไทยโดยตลอด แต่ไม่สามารถพูดภาษาเยอรมันและภาษาจีนได้ แม้จะเคยเข้าเรียนภาษาจีนกลางมาบ้าง[18] ส่วนเรื่องศาสนา คุณแม่นับถือศาสนาพุทธ ส่วนมาริโอ้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก แต่ตอนเด็กๆ อายุ 12 ปี แม่เคยพาไปบวชเณร 20 วัน แต่ตอนนี้มาริโอ้นับถือคริสต์แล้ว[64]
มาริโอ้มีพี่ชายอยู่ 1 คน ชื่อมาร์โค อายุห่างกัน 5 ปี (เกิดประเทศเยอรมนี) [11] เป็นศิลปินฮิปฮอป ที่ใช้นามแฝงว่า PsyCho[65] ซึ่งมาริโอ้ก็สนิทกับมาร์โคมาก คอยช่วยเหลือและปกป้องคนที่จะมาคอยแกล้งมาตั้งแต่เด็กๆ[66]
ทางด้านความสัมพันธ์ มาริโอ้ยอมรับกลายๆ ว่ามีเพื่อนผู้หญิงที่สนิทสนมด้วยคือ "กุ๊บกิ๊บ" สุมณทิพย์ เหลืองอุทัย เป็นสมาชิกวงดนตรีแนวป็อป "เบบี้ บูทตี้" ซึ่งมีรูปควงกันไปไหนมาไหน ตามหนังสือกอสซิป และรูปที่หลุดออกจากอินเทอร์เน็ต ทางด้านสุมณทิพย์ให้สัมภาษณ์ในช่วงเดือนมีนาคม 2551 ไว้ว่า "กับโอ้เป็นเพื่อนที่สนิทคนหนึ่ง สาเหตุที่เรารู้จักกันนั้น เพราะเพื่อนแนะนำ รู้จักกันมา 5 ปีแล้ว ตอนนี้ยังไม่อยากรีบใช้คำว่าแฟน เพราะยังเด็กด้วยกันทั้งคู่"[67]

[แก้] ความสนใจ

การแต่งกายในปัจจุบัน แต่งแบบแฟชั่นทันสมัยมากขึ้น
ตอนเด็ก อาชีพที่มาริโอ้ใฝ่ฝันอยากจะเป็นคือ เป็น ทหาร ตำรวจ หรือ หน่วย S.W.A.T. ไม่เคยมีความคิดที่จะเข้าวงการบันเทิง จนได้เข้าสู่วงการ[60] ส่วนในเวลาว่าง สถานที่ที่มาริโอ้ไปเดินเล่นบ่อยๆ เช่น สยามสแควร์ ดูพวกเสื้อผ้า รองเท้า[68] และในคืนวันเสาร์ก็นัดเพื่อนไปเดินเล่นตลาดมืด คลองถม หาของเล่นฮิปฮอป พวกโมเดลตุ๊กตา มาริโอ ซิมป์สัน homie[69]และยังชอบเล่นเกม มาริโอ้ยังใช้เวลาว่างไปเล่นกีฬาผาดโผน อย่างสเก็ตบอร์ด[70] ที่เริ่มสนใจจากการดูช่องอีเอสพีเอ็น ซึ่งมาริโอ้มักจะไปเล่นสเกตบอร์ดที่อุทยานเบญจสิริ ข้างเอ็มโพเรี่ยม [11] ในสมัยก่อนเข้าวงการ จะเล่นทุกวันกับพวกเพื่อนๆ ประมาณ 10-20 คน เล่นกันตั้งแต่เที่ยงถึง 3 ทุ่ม[71] เคยลองลงแข่งขันมาบ้างแต่ก็ไม่เคยชนะ[5] นอกจากนั้นยังชอบในการแต่งตัวสไตล์เด็กสเก็ต[18] และยังชอบดนตรีในแนวเพลงฮิปฮอป เริ่มฟังมาตั้งแต่ชั้น ป.6[11] โดยจะฟังในช่วงตอนเช้าตอนไปโรงเรียน และยังชอบดาวน์โหลดมิวสิกวิดีโอต่างประเทศมาดูบ่อยๆ แล้วก็เต้นตาม เมื่อเวลาออกเล่นคอนเสิร์ตกับพี่ชาย ก็จะได้ท่าใหม่ๆ มาเรื่อย ๆ[72] ความชื่นชอบในวัฒนธรรมฮิปฮอป มาริโอ้เรียกว่า "เข้าขั้นบ้า" และรักเป็นชีวิตจิตใจ ครั้งหนึ่งดูภาพยนตร์เรื่อง 8 Mile ภาพยนตร์เกี่ยวกับนักร้องเพลงแร็ป นำแสดงโดยเอ็มมิเน็ม มาริโอ้เล่าให้ฟังว่า เมื่อดูแล้วถึงขนาดขนลุก น้ำตาซึม เลยทีเดียว[69] ส่วนศิลปินแนวฮิปฮอปที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ เช่น โจอี้ บอย ,ดาจิม, ทูแพ็ก ,แอลแอล คูล เจ, คริส บราวน์ และ ที.ไอ.[73] นอกจากนี้ยังฟังเพลงไทยสากลประเภทอื่น อย่างในตอนเด็กจะฟัง อนันต์ บุนนาค และ วงหินเหล็กไฟ เป็นต้น[71] สำหรับนักแสดงที่มาริโอ้ชื่นชอบคือ อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม[74] ชอบที่วิธีการพูดจา การดำเนินชีวิต และแนวคิด[5] ซึ่งอนันดาก็ทราบว่า มาริโอ้ดูเขาเป็นแบบ และพูดว่า "เขาเป็นคนที่มีแววมากๆ เวลาเห็นเขาแล้วรู้สึกว่า อยากให้เขาได้ดี"[75]
งานอดิเรกอย่างอื่น มาริโอ้ยังชอบเลี้ยงปลากัดประเภทสวยงาม ตั้งแต่เด็ก ๆ เคยเลี้ยงจำนวนมากสุดถึง 70 ตัว และเอาไปประกวดได้ถ้วยรางวัลระดับประเทศมาแล้วด้วย[72] นอกจากปลากัดแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เลี้ยงปลามาหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ปลาออสการ์ ปลาหมอ ปลาตะเพียน หรือปลาทอง[9] แต่ปัจจุบันไม่ได้เลี้ยงแล้ว เนื่องจากไม่มีเวลา ส่วนดอกไม้ที่ชอบคือดอกกล้วยไม้ เพราะที่บ้านปลูกเยอะ[76] มีหลายสีและดูแลรักษาได้ง่าย[77]
เรื่องการแต่งตัว แต่ก่อนจะชอบแต่งตัวแบบแฟชั่นฮิปฮอป ตอนนี้ก็แต่งอยู่บ้าง แต่อาจมีเปลี่ยนบ้างเวลาไปข้างนอก แต่งแบบแฟชั่นทันสมัยมากขึ้น จะมีใส่แจ๊กเก็ตหรือกางเกงขาเดฟมากขึ้น[78] มาริโอ้มีรองเท้าผ้าใบยี่ห้อไนกี้ร่วม 50 คู่ (ข้อมูลเดือนพฤษภาคม 2551) โดยซื้อและใช้ร่วมกับพี่ชาย[12]
ในวันว่างของมาริโอ้ในปัจจุบัน มักจะหมดไปกับการเล่นสเกตบอร์ด เจอเพื่อนสนิท และอยู่กับครอบครัว ส่วนกิจกรรมไอที ออนไลน์เป็นสิ่งที่ไม่ชอบนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เล่น แต่จะค้นหาข้อมูลที่ชอบมากกว่าเช่นเรื่องเพลง กับเว็บไซต์ของเล่น[79] และจากการที่ระยะหลังที่ไม่ค่อยมีเวลาว่างจึงหันมาสะสมของเล่นเกี่ยวกับฮิปฮอปแบบจำกัดจำนวนผลิตแทนและสะสมตัวการ์ตูนครอบครัวซิมป์สัน[5] ส่วนไฮไฟฟ์และเอ็มเอสเอ็น มาริโอ้ไม่ได้เล่น และเคยออกมาเตือนให้ระวังพวกล่อลวงที่อ้างเป็นมาริโอ้[80]

[แก้] บุคลิกและนิสัย

นิสัยของมาริโอ้ มาริโอ้จะเป็นคนรักธรรมชาติ เพราะคุณพ่อที่เป็นคนชอบอ่านหนังสือและชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับธรรมชาติ จึงทำให้ชอบธรรมชาติเหมือนกัน มาริโอ้เป็นคนค่อนข้างพูดน้อย เป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยกล้าพูด กล้าแสดงออก[60] เป็นคนเครียด ๆ ปกติจะเป็นคนคิดมาก[12] อย่างเรื่องข่าวไม่ดี แต่จะเป็นคนที่ค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวเองและเป็นคนมองโลกในแง่ดี ตอนเด็กๆ ยังมีนิสัยดื้อเงียบ ถ้าใครบอกว่าไม่ให้ทำอะไรจะชอบแอบทำ อย่างเช่น ถ้าไม่ให้เล่นปะทัดก็จะแอบซื้อมาจุด ไม่ให้ขี่จักรยานไปไกลๆ ก็จะขี่ไป[9] และเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง ถ้าไม่รู้จักกันจะมองว่าเป็นคนหยิ่ง จะนั่งเงียบๆ ไม่คุยด้วย แต่ถ้าสนิทด้วย จะพูดทั้งวัน[69] ยังมองข้อเสียตัวเองอีกว่า ชอบเก็บอะไร ๆ ไว้ในใจจนล้น แล้วปล่อยมาทีเดียว ซึ่งก็เรียนรู้ทีหลังว่าจะค่อย ๆ ปล่อยออกมา[60] มาริโอ้พูดถึงตัวเองเรื่องนิสัยส่วนดี อย่างเช่น เป็นคนที่เข้ากับคนง่าย ทำให้ไม่มีปัญหาเวลาทำงาน และเป็นคนพูดจาไพเราะ ส่วนนิสัยที่อยากแก้ไขคือ เป็นคนนอนขี้เซา ชอบตื่นสาย[18]
ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับภาพยนตร์ รักแห่งสยาม พูดถึงมาริโอ้ว่า ที่รับเลือกมาริโอ้มาเล่น รักแห่งสยาม นอกเหนือจากเรื่องหน้าตาแล้ว "เขามีดีกว่านั้น ดูจากแววตาแล้ว เขาไม่ใช่คนเลื่อนลอย ทำหน้าหล่อไปวันๆ ... เขารักครอบครัว เขาเป็นคนจริงใจ ใสซื่อ เหมือนแก้วน้ำใบใหญ่ ๆ ใส่อะไรลงไปก็ได้"[31] ส่วนผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง ฝัน-หวาน-อาย-จูบ ราเชนทร์ ลิ้มตระกูล พูดถึงมาริโอ้ว่า "มาริโอ้เป็นเด็กที่น่ารักมาก เขามีความซื่อสัตย์ต่อความคิดของตัวเองมาก ซื่อสัตย์กับคนที่เขาทำงานด้วยมากๆ เขาไม่หยิ่ง แล้วก็ยังคิดอยู่เสมอว่าเขาเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง...ผมเชื่อว่าทุกคนที่ได้ร่วมงานกับโอ้หรือทำงานกับโอ้คงไม่แปลกที่จะตกหลุมรักเขา"[81]

[แก้] ภาพลักษณ์และกับสื่อบันเทิง

[แก้] ภาพลักษณ์

มาริโอ้ในงานบุ๊กเอกซ์โป 2008
จากกระแสตอบรับที่ดีจากภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม ในบทบาทชายรักชาย จึงได้กระแสตอบรับที่ดีเป็นจำนวนมาก มาริโอ้เคยกล่าวว่าแฟนคลับของมาริโอ้ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง[20][76] มาริโอ้ให้ความเห็นว่า "ก็รู้สึกดีครับ ผมก็ไม่ได้แอนตี้เกย์ หรือกะเทยอยู่แล้ว เค้าก็เป็นคนในสังคมเหมือนกัน มีหัวใจเหมือนกัน ไม่ว่าใครจะชอบผม จะเพศไหนก็ไม่สำคัญ ผมก็ชอบหมดแหละครับ เค้าก็มีความน่ารักในแบบของเค้านะ"[82] แต่ก็มีกระแสตอบรับไม่ดีบ้าง มาริโอ้เล่าว่า ไปเดินตลาดแถวบ้าน เจอคนที่ไม่ชอบบทบาทในภาพยนตร์ พอเดินผ่านไป ก็มีเสียงตะโกนไล่หลังว่า "ไอ้เกย์"[60]
เนื่องจากเป็นคนพูดน้อย จึงมีข่าวออกมาว่า "หยิ่ง" มาริโอ้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า "โอ้เพิ่งจะเข้ามาในวงการนี้ได้ไม่นาน ก็พยายามทำให้ดีที่สุดครับ อาจจะไม่ค่อยพูดแต่ก็พยายามฝึกและพยายามปรับตัวอยู่ครับ"[83] และพูดเสริมในอีกสัมภาษณ์หนึ่งว่า "โอ้เป็นตัวโอ้ ไม่ได้หยิ่ง แฟนคลับโอ้เข้าถึงได้ โอ้ก็เหมือนเดิม"[84] แต่จากข่าวลือเรื่องหยิ่งนี้เอง เสนาหอย นำมาเขียนในพ็อกเกตบุ๊ก หอยสมบูรณ์ เกี่ยวกับมาริโอ้ว่า ตอนแรกคิดว่าหยิ่ง แต่พอได้คุยจริง ตลกและยังกล้าหอมแก้มเขาอีกด้วย[85]
อดีตผู้จัดการส่วนตัวของมาริโอ้ พูดถึงมาริโอ้ว่า "หน้าลูกครึ่งฝรั่ง-จีน ในมุมมองของโมเดลลิ่ง เป็นส่วนผสมที่ค่อนข้างโดนใจวงการบันเทิงบ้านเรา เพราะเป็นแนวหล่อน่ารัก มากกว่าจะเซ็กซี่ฝรั่งจ๋า"[79] และจากภาพลักษณ์ใส ๆ นี้เอง รถยนต์ฮอนด้า แจ๊ส ใหม่ ซึ่งต้องการกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่จึงเลือกมาริโอ้เป็นพรีเซนเตอร์ กลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใช้รถคันแรก[86] ซึ่งก่อนหน้านั้นมาริโอ้มาร่วมประชาสัมพันธ์ผลงานแนวฮิปฮอปกับพี่ชาย มาร์โค แต่เนื่องจากอาจขัดต่อภาพลักษณ์ใส ๆ ที่ฮิปฮอปมีภาพลักษณ์เป็น "แบดบอย" และอาจขัดต่อสัญญา ทั้งคู่จึงมิได้โชว์ตัวและออกงานด้วยกันในฐานะ PsyCho & Lil’Mario ในช่วงที่อยู่ในระยะเวลาของสัญญา[87]

[แก้] มาริโอ้กับสื่อบันเทิง

มาริโอ้ รับรางวัลหนุ่มฮ็อตแห่งปี จากนิตยสารเซเวนทีน
ในการจัดอันดับ "โพลดารา" ของ บันเทิงไทยรัฐ เมื่อปลายปี 2550 ซึ่งเป็นการสอบถามจากกลุ่มศิลปิน ดารา นักร้องกว่า 200 คน มาริโอ้ได้รับการลงคะแนนเป็นอันดับ 2 ในหมวด ดาวรุ่งในดวงใจ รองจากเขมนิจ จามิกรณ์[88] ต่อมาในการจัดอันดับโพลดาราปี 2551 ได้รับดาวรุ่งในดวงใจเป็นที่ 1 ได้คะแนน 36.0%[89] ในวันหนังไทย ประจำปี พ.ศ. 2551 ที่มีการประกาศรางวัลสุดสุดแห่งปี 2550 มาริโอ้ได้รางวัลดาราชายหน้าใหม่ที่มาแรงแบบสุด ๆ [90] ในการจัดรางวัลสยามดารา สตาร์ ปาร์ตี้ 2008 ของหนังสือพิมพ์สยามดารา ยังได้รับรางวัลดาวรุ่งมาแรงชายอีกด้วย[91] และในงานมอบรางวัลของสถานีวิทยุอีเอฟเอ็ม มาริโอ้ได้รับรางวัล "หน้าใหม่น่าหม่ำ" ซึ่งเป็นผลจากการลงคะแนนของผู้ฟัง[92] ในงานประกาศผลรางวัลทีนชอยส์อวอร์ดสของ นิตยสารเซเวนทีน ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551 มาริโอ้ได้รับรางวัล หนุ่มฮ๊อตแห่งปี[93] อีก 2 วันถัดมายังได้รับรางวัล Rising Star หรือเซเลบริตี้หน้าใหม่ที่น่าจับตา จากงานโอเค! อวอร์ดส 2008[94] อีกทั้งยังได้รับรางวัล Hot Guy จากงาน in Young Generation Choice 2008 ที่จัดขึ้นโดยนิตยสาร อิน[95] และเนื่องจากการถ่ายตามนิตยสารอย่างมากมาย ทำให้ได้รับรางวัล The Most Popular Magazine Cover สำหรับนายแบบและนางแบบที่ขึ้นปกนิตยสาร และได้รับความนิยมมากที่สุดตลอดระยะเวลา 3 ปี จัดขึ้นโดยสมาคมนิตยสารแห่งประเทศไทย[96] ต่อมาในปี 2009 ได้รับรางวัลหนุ่มเซ็กซี่ในงานมอบรางวัล In Young Generation Choice 2009[97]
สำหรับข่าวในสื่อบันเทิง จากภาพลักษณ์เกย์ มาริโอ้มีข่าวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในทำนองมีความสัมพันธ์กับชายอื่น อย่าง ช่วงวิทย์ รัตนชำนอง นักร้องเพลงลูกทุ่ง[98], ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับภาพยนตร์ รักแห่งสยาม[99] และ ฉัตรชัย เปล่งพานิช นักแสดงและผู้กำกับ ซึ่งมาริโอ้ก็ออกมาปฏิเสธเรื่องความสัมพันธ์ดังกล่าว นอกจากนั้นยังมีเรื่องราวข่าวไม่จริง เสียหาย ของมาริโอ้ ที่ถูกโพสต์ทางอินเทอร์เน็ต หรือเนื้อหาทางสื่อบันเทิง เช่น ดังแล้วหยิ่ง ดังแล้วเรื่องมาก ดังแล้วไม่ยอมทำงาน มาทำงานสาย[12] กระแสข่าวต่าง ๆ ที่ออกมาในสื่อบันเทิง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกย์ เรื่องหยิ่งและเรื่องการคบหากับกุ๊บกิ๊บ สุมณทิพย์[100] จะมีในแง่ลบอยู่หลายเรื่อง ซึ่งบางครั้งเจอข่าววิจารณ์แรง ๆ ก็ถึงกับร้องไห้เลย[101] จนมาริโอ้แสดงความรู้สึกว่า "โอ้เข้าใจว่า คนเราต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง แต่การพูดกันแรงๆ ว่ากัน มันเป็นการบั่นทอนจิตใจ ทำให้ไม่มีกำลังใจ[102] และพูดเสริมว่า "ผมว่าคนเราชอบมองกันที่ขาวดำ แต่จริง ๆ แล้วมันก็สีเทา มีบ้างที่ผิดพลาด คิดว่าเราน่าจะมองกันในแง่บวกบ้าง จะรู้ว่าสังคมเรามีแต่คนน่ารักเยอะ" ทั้งบอกจุดยืนการเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงว่า "ผมอยู่ตรงนี้ผมทำเพื่อพ่อเพื่อแม่ผม เพื่อครอบครัวผม"[103] และถึงแม้จะมีข่าวไม่ดีออกมา แต่เขาก็บอกว่าก็มีคนให้การตอบรับเขาดีมาก[104] แต่ก็รู้สึกเข้าใจกับการนำเสนอข่าว "เราทำงานทางด้านนี้ก็ต้องมีข่าวอยู่แล้ว มันต้องคู่กันไป"[105]
เรื่องการตอบคำถามกับสื่อบันเทิง มาริโอ้จะพูดตรง ๆ โดยให้เหตุผลไว้ว่า "ถ้าเรามานั่งเสแสร้ง ตอบคำถามดีมาก ๆ ผมคิดว่ามันไม่จริงครับ ในโลกนี้มันไม่ใช่แบบนั้น เรามีอะไรก็พูดกันตรง ๆ ดีกว่า"[12]

[แก้] กิจกรรม

[แก้] กิจกรรมการกุศล

มาริโอ้ ให้สัมภาษณ์ รณรงค์ในวันงดสูบบุหรี่โลก ที่มาบุญครอง
มาริโอ้ มีส่วนร่วมในกิจกรรมการกุศล อย่างเช่นเมื่อครั้งประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม ที่ร่วมหารายได้ มูลนิธิเด็กโรคหัวใจในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ไม่ว่าจะร่วมทำกระปุกออมสินรูปหัวใจ ในรูปแบบเปเปอร์มาร์เช่ต์ ให้คนดูหนังได้บริจาคเงิน และคอนเสิร์ต "รักแห่งสยาม Nokia Music Presents The Love of Siam Special Greeting" ที่หารายได้เพิ่มเติมเข้ามูลนิธิ[106]อีกทั้งยังร่วมกิจกรรมของ นิตยสารสุดสัปดาห์ ฉลองการก้าวเข้าสู่ปีที่ 26 ในโครงการ "คนหล่อ ขอทำดี"[107] โดยรับเงินบริจาคแลกกับการกอด ได้เงินกว่า 32,600 บาท ไปมอบให้กับเด็กด้อยโอกาสในการดูและของมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน วัดบางไส้ไก่[108]
มาริโอ้ได้ร่วมงาน “Power of Love for Better Life” เป็นการหารายได้สนับสนุนการจัดซื้ออุปกรณ์เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยร่วมวาดลวดลายบนถังออกซิเจน และรถเข็นผู้ป่วย ภายใต้แนวคิด "Happiness"[109] และในการเล่นเกมโชว์ในรายการ 1 ต่อ 100 ทางช่อง 3 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2551 มาริโอ้นำเงินที่ได้จากการแข่งขัน 57,500 บาท มอบให้กับศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน บ้านกาญจนาภิเษก[110][111] มาริโอ้ยังมีส่วนร่วมในงาน "รวมพลคนทำดี Pink Party ทำดีเพื่อพ่อ" จัดโดยสำนักพิมพ์ดีเอ็มจี ร่วมกันทำความดี โดยมีกิจกรรมรับบริจาคปัจจัย อาหาร ยาและเครื่องใช้เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุหมุนนาร์กิสชาวพม่า ผ่านทางวัดพระรามเก้ากาญจนาภิเษก[112]

[แก้] การรณรงค์และกิจกรรมการส่งเสริม

ในวันงดสูบบุหรี่โลก ประจำปี พ.ศ. 2551 ซึ่งจัดโดย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มาริโอ้ได้รับเลือกเป็นพรีเซนเตอร์รณรงค์โครงการนี้[113] และยังเป็นพรีเซนเตอร์ต่อต้านยาเสพติดให้กับทางสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด[114][115] ที่จัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ ภายใต้ชื่อกิจกรรม “ทำความดี ตามคำพ่อ” โดยน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานไว้ในโอกาสต่างๆ 5 คำสอนคือ ความพอดี, ความเพียร, การเอาชนะใจตน, ความซื่อสัตย์ และหนังสือเป็นออมสิน โดยมาริโอ้ เป็นตัวแทนของ “ความซื่อสัตย์”[116]
ในวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2551 สำหรับการจัดงาน “มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2551” ภายใต้แนวคิด “วิทยาศาสตร์ สร้างชาติ สร้างอนาคต” จัดโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาริโอ้เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับงานนี้ร่วมกับศิรพันธ์ วัฒนจินดา ในงานครั้งนี้[117]

[แก้] ผลงาน

มาริโอ้เริ่มเข้าสู่วงการด้วยการถ่ายแบบตามนิตยสาร โดยเริ่มถ่ายจากนิตยสารเดอะบอย และมีผลงานภาพยนตร์โฆษณามากกว่า 30 เรื่อง[60] มีผลงานถ่ายมิวสิกวิดีโออีกหลายตัว และมีผลงานภาพยนตร์เริ่มจากภาพยนตร์เรื่อง รักแห่งสยาม รวมทั้งผลงานเพลงร่วมกับพี่ชาย

[แก้] โฆษณา

[แก้] อัลบั้มเพลง

  • PsyCho & Lil’Mario: Dem Crazy Boyz ในนามศิลปิน PsyCho & Lil’Mario

[แก้] มิวสิกวิดีโอ

[แก้] ละคร

  • หมู่ 7 เด็ดสะระตี่ ตอน ตามติดชีวิตเด็กเอนท์ (รับเชิญ)
  • หินกลิ้ง ตอนจบ (รับเชิญ)
  • ใต้ฟ้าตะวันเดียว รับบทเป็น คิม มิน โฮ

[แก้] ภาพยนตร์

ปีชื่อบทบาทหมายเหตุ
พ.ศ. 2550รักแห่งสยามโต้ง
พ.ศ. 2551เฟรนด์ชิพ เธอกับฉันสิงหา
ฝัน-หวาน-อาย-จูบหมีตอน "จูบ"
พ.ศ. 2552บุปผาราตรี 3.1 และ บุปผาราตรี 3.2หรั่ง
พ.ศ. 2553สาระแนสิบล้อเอก
สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า...รักโชน
เดอะด็อก

เฟิสต์เลิฟ

[แก้] รางวัล

ปี พ.ศ.รางวัลสาขาผลภาพยนตร์
2551รางวัลเอเชียนฟิล์มนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมเสนอชื่อเข้าชิง[24]รักแห่งสยาม
สตาร์พิกส์อวอร์ดนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมได้รับรางวัล[118]
รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิงนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเสนอชื่อเข้าชิง[119]
เฉลิมไทยอวอร์ดนักแสดงชายในบทนำจากภาพยนตร์ไทยแห่งปีเสนอชื่อเข้าชิง[120]
สตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดสผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยมเสนอชื่อเข้าชิง[28]
เทศกาลหนังซิเนมะนิลานักแสดงชายยอดเยี่ยมได้รับรางวัล[29]
2552ท็อปอวอร์ดส 2008ดาวรุ่งชายยอดเยี่ยม สาขาภาพยนตร์ได้รับรางวัล[121]เฟรนด์ชิพ เธอกับฉัน
2553ท็อปอวอร์ด 2009ดารานำชายยอดเยี่ยม สาขาภาพยนตร์เสนอชื่อเข้าชิงบุผผาราตรี 3.1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...